X
    Categories: blog

ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดสุดๆ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกัน

หากคุณอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้ร่วงในราคาถูกสุดๆ ล่ะก็ ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวกันแล้ว! กับสารพัดข้อแนะนำเพื่อการจัดทริปแสนประหยัดที่คุณก็ทำได้

หนึ่งในฤดูท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆ คนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องมีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงามอย่างแน่นอน และคงไม่มีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ใดที่น่าไปเยือนมากกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นอีกแล้ว ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นจุดพีคของแดนอาทิตย์อุทัยอีกฤดูหนึ่งเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าฤดูเที่ยวแบบนี้อะไรๆ ก็คงอัพราคารับกระแสนักท่องเที่ยวกันไปซะหมด แต่คุณก็อย่าเพิ่งถอดใจไป! เพราะเรามีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้แบบประหยัดสุดๆ ทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง และค่าใช้จ่ายประจำวัน ในแบบที่คนงบน้อยก็เที่ยวได้สบายใจ

ถามตัวเองก่อนเริ่มจัดทริป

จุดเริ่มต้นของการจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดในช่วงพีคซีซั่นนั่นก็คือ การถามความต้องการและความสะดวกของคุณเองก่อน โดยเรามีตัวอย่างคำถามที่สำคัญๆ อย่างเช่น

“ตุลาคมถึงพฤศจิกายนว่างไหม?” เพื่อตอบว่าคุณจะชมใบไม้เปลี่ยนสีในปีนี้ได้หรือไม่ เพราะใน 1 ปีนั้นมีเวลาเพียง 2 เดือนดังกล่าวในการชมใบไม้เปลี่ยนสีก่อนจะร่วงหมดต้นและเข้าสู่ฤดูหนาว

“อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?” เพื่อกำหนดเป้าหมายการเที่ยวของคุณ ว่าคุณอยากดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน หรืออยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษบ้าง โดยที่เที่ยวทั้งหมดควรต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

“มีเวลาเที่ยวกี่วัน?” เพื่อดูข้อจำกัดว่าคุณสามารถให้เวลากับทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดนี้ได้นานแค่ไหน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการลางาน หรือภาระข้อจำกัดที่คุณอาจจากไปเป็นเวลานานไม่ได้

“เดินทางได้วันไหน?” เพื่อกำหนดช่วงเดินทางที่เหมาะสม และถ้าหากเป็นไปได้เราอยากให้คุณเลือกเดินทางในช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งตั๋วเครื่องบินจะมีราคาถูกกว่าการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์

เลือกภูมิภาคเที่ยว

เพราะช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่นนั้นไม่ตรงกัน คุณจึงมี 2 ทางเลือกว่าคุณจะ “ปรับที่เที่ยวให้ตรงกับเมืองที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในเวลาที่ต้องการ” หรือจะ “ปรับวันเดินทางให้ตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในเมืองที่ต้องการ” โดยการเปลี่ยนสีของใบไม้ในญี่ปุ่นจะเริ่มจากทางทิศเหนือสู่ทิศใต้ ตามสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงจากทางเหนือก่อน เราขอยกตัวอย่างช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ในญี่ปุ่นตามสถิติของปีที่ผ่านๆ มาดังนี้

ซัปโปโร ปลายเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคม

นิกโกะ ต้นเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

โอซาก้า กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

เกียวโต กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

โตเกียว ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

คุมาโมโตะ ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

ลงมือหาตั๋วเครื่องบินถูก

ขั้นตอนสำคัญที่อาจตัดสินได้ว่าทริปเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดของคุณนั้นจะประหยัดจริงหรือไม่ ก็ด้วยการหาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดนี่แหละ! จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้ตั๋วถูกมาเที่ยว มาดูกัน

วางแผนจองล่วงหน้า

หนึ่งในยุทธวิธีที่จะทำให้คุณได้จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกได้นั่นก็คือการจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เนินๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลของเสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner มาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี เราได้พบว่าการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ได้ราคาประหยัดที่สุดนั้น คุณต้องลงมือจองล่วงหน้าก่อนวันบินเป็นเวลา 19 สัปดาห์ (หรือ 4-5 เดือนก่อนการเดินทาง)

สำรวจราคาให้ครอบคลุม

ทราบหรือไม่ว่าแค่ขยับวันเดินทางก่อนหรือหลังเพียงวันเดียว ก็อาจทำให้คุณประหยัดค่าตั๋วเครื่องบินได้อีกเป็นกอง! นั่นเป็นความจริงของราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างวันหยุดกับวันธรรมดาที่แตกต่างกันเสมอ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วง เพราะเรามีเครื่องมือ “เปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินทั้งเดือน” ที่ช่วยให้คุณดูราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดได้อย่างเต็มตาทั้งเดือน

หาตัวช่วยเตือนโปรถูก

จะเกิดอะไรขึ้นหากโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกสุดๆ โผล่เข้ามาโดยที่คุณไม่ทันได้ตามข่าว? คุณคงพลาดการจัดทริปไปญี่ปุ่นในราคาประหยัดอีกแน่ถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วยแจ้งเตือน ดังนั้นเมื่อเลือกวันเที่ยวได้แล้วแต่ยังตัดสินใจรอตั๋วลดราคาลงอีก ก็ลอง “รับบริการแจ้งเตือนราคา” จากเราดู รับรองว่าราคาเปลี่ยนปุ๊บเราเตือนคุณปั๊บแน่นอน

จองโรงแรมล่วงหน้าให้ไว

เมื่อคุณได้เที่ยวบินแล้ว คุณก็จะมีกำหนดการเดินทางและระยะเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ จากนั้นก็เริ่มจองโรงแรมกันได้เลย ถ้าหากคุณต้องการประหยัดค่าโรงแรมในทริปนี้ล่ะก็ ในญี่ปุ่นก็มีโรงแรมสไตล์โฮสเทลอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ห้องนอนรวม หรือที่นอนแคปซูล หรือใช้ห้องน้ำรวม หรือไม่มีเครื่องปรับอากาศก็แล้วแต่รูปแบบของโรงแรมนั้นๆ ความสำคัญอยู่ที่คุณจะได้โรงแรมที่ถูกที่สุดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถรับต่อบริการเหล่านั้นได้หรือไม่ ในระดับไหน ซึ่งคุณอาจเลือกเพิ่มเงินอีกนิดเพื่อได้พักห้องส่วนตัวก็ได้ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับงบประมาณและความพึงพอใจที่คุณมีนั่นเอง

เริ่มวางแผนเที่ยวเชิงลึก

เมื่อคุณได้เที่ยวบินและที่พักแล้ว ก็เริ่มลงมือวางแผนการเที่ยวได้ เพราะนี่คือส่วนที่สนุกที่สุด! จากที่ถามตนเองในตอนแรกว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้างก็ได้เวลามาทำให้มันกลายเป็นจริง แต่ควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้

จัดตารางที่เที่ยว

จัดตารางที่เที่ยวของคุณลงในคอมพิวเตอร์หรือในสมุดแล้วแต่สะดวก แต่ที่เที่ยวในแต่ละวันควรจะอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อประหยัดค่าเดินทางและเวลา และที่เที่ยวทั้งหมดไม่ควรไปไกลเกินกว่าเขตภูมิภาคที่ตนเองอยู่ (ยกเว้นจะมีเวลามากพอแล้วจัดแผนเที่ยวหลายเขต) เพราะการเดินทางไปสถานที่ไกลๆ ที่อยากไปเพียงแห่งเดียวนั้นไม่ใช่การเที่ยวที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก เอาเวลาเดินทางไปเที่ยวที่อื่นใกล้ๆ ดีกว่า

คัดที่เที่ยวที่ไม่เสียเงิน

อันที่จริงการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่สวยที่สุดนั้นมักจะต้องเข้าไปชมภายในวัดหรืออุทยานต่างๆ ซึ่งทุกที่จะเสียค่าเข้าชมเพื่อบำรุงสถานที่ (300 – 1,000 เยน/แห่ง แล้วแต่สถานที่) แต่ทริปประหยัดของคุณก็ไม่จำเป็นต้องแวะทุกที่ แค่เลือกสถานที่เสียค่าเข้าชมที่ดูสวยงามที่สุดในสายตาคุณมาสักแห่งสองแห่ง ที่เหลือจากนั้นก็ไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีตามสวนสาธารณะหรือถนนในเมืองแบบฟรีๆ กันดีกว่า อาทิเช่นสวนสาธารณะรอบปราสาทโอซาก้าที่เดินเที่ยวฟรีได้ เป็นต้น

จัดตารางเดินทาง

มาถึงการวางแผนการเดินทางที่ต้องวางแผนอย่างรอบครอบ โดยในตารางที่เที่ยวของคุณควรกะเวลาเดินทางระหว่างที่เที่ยวแต่ละแห่งเอาไว้ด้วย และแน่นอนว่าการเดินทางที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่สุดนั่นก็คือการเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย! แค่คุณต้องดูจากแผนที่ว่าที่เที่ยวที่คุณต้องการไปนั้นต้องนั่งรถไฟจากสถานีไหนไปสถานีไหน จากนั้นก็ใช้บริการของเว็บไซต์ Hyperdia เพื่อเช็คว่าการเดินทางของคุณจะมีรถไฟรอบเวลาใดบ้าง ใช้เวลากี่นาที และต้องเสียเงินเท่าไหร่ ซึ่งเป็นตัวช่วยชั้นดีในการวางแผนเดินทางในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรพยายามเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนกลุ่มเดียวกันให้มากที่สุด เช่นเลือกเดินทางด้วยรถไฟของบริษัท JR อย่างเดียว หรือเลือกเดินทางด้วยรถไฟเอกชน+รถไฟใต้ดิน+รถเมล์อย่างเดียว เพื่อประโยชน์ในการซื้อบัตรเหมาจ่าย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่เที่ยวที่คุณจะไปว่ามีระบบขนส่งมวลชนกลุ่มไหนผ่านบ้าง

ใช้บัตรเหมาคุ้มกว่า

หลังจากจัดตารางที่เที่ยวและการเดินทางลงตารางเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะเริ่มมองเห็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ที่อาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยล่ะ แต่คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ด้วยการซื้อบัตรโดยสารเหมา (หรือเรียกกันว่า “บัตรเบ่ง”) ซึ่งเป็นบัตรที่จ่ายครั้งเดียวและเดินทางได้ไม่จำกัดครั้งตามเวลาที่กำหนด อาทิตั๋ว JR Rail Pass ที่เดินทางได้กับรถไฟของบริษัท JR ได้ทุกสาย หรือบัตรท่องเที่ยวรายวันของแต่ละท้องที่ ซึ่งมักจะรวมรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน รถเมล์ และส่วนลดบัตรเข้าชมที่เที่ยวต่างๆ มาไว้ด้วยกัน โดยบัตรทั้ง 2 แบบก็ล้วนแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางขึ้นเยอะ

ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรเปรียบเทียบการเดินทางของคุณกับบัตรและประเภทดูว่าบัตรไหนตอบโจทย์ความคุ้มค่ากับโปรแกรมที่เที่ยวของคุณมากที่สุด เพราะบางครั้งบัตร JR Rail Pass ก็ไม่ครอบคลุมการเดินทางได้เท่ากับการบัตรท่องเที่ยว หรือกลับกันก็เป็นได้

กำหนดงบติดตัว

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีค่าครองชีพสูง การกำหนดงบใช้กินนั้นอาจตีได้ถึง 300 บาทต่อมื้อ หรือปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ได้อย่างต่ำประมาณวันละ 1,000 บาทต่อวันต่อคนเลยทีเดียวเชียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะการหาของกินราคาถูกของแต่ละคนด้วย (เข้าห้างสรรพสินค้าตอนดึกๆ มักจะมีอาหารกล่องลดราคา!) และอย่าลืมเผื่อเงินอีกหนึ่งเท่าของค่ากินสำหรับค่าเดินทาง ของใช้ และค่าจิปาถะอื่นๆ ที่อาจต้องใช้ในญี่ปุ่น และที่สำคัญ! ควรแลกเงินเยนจากไทยไปให้เพียงพอดีกว่า เพราะเรทแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นจะแพงกว่ามาก และสุดท้าย การพกเงินไปเผื่อแล้วเหลือกลับมาแลกคืนนั้นย่อมดีกว่าเงินหมดตอนเที่ยวแล้วต้องวิ่งหาแลกเงินเยนที่เรทสูงปรี๊ดในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

ใครที่ฝันอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ติดปัญหาเล็กๆ อย่างเรื่องงบและความกังวลว่าจะ “เที่ยวแพง” อยู่ล่ะก็ ทิปส์เหล่านี้อาจจะช่วยให้ทริปเที่ยวของคุณใกล้ความจริงได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะประหยัดได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไหน สุดท้ายก็ขอให้การเที่ยวนั้นคุ้มค่าและประทับใจต่อตัวคุณที่สุดก็เพียงพอแล้ว

Credit : www.skyscanner.co.th

admin :