วัดเซนโซจิ(Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอก โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย
ตามตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณปี 628 สองพี่น้องได้ออกเรือไปตกปลา และตกรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทิ้งรูปปั้นกลับลงสู่แม่น้ำเท่าไหร่ก็ตาม รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมก็จะกลับมาหาพวกเขาอยู่เสมอ จึงได้มีการสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม วัดนี้ก่อสร้างเสร็จในปี 645 จึงถือว่าเป็นวัดที่เท่าแก่ที่สุดในโตเกียว
แผนที่แสดงบริเวณวัดเซนโซจิ
ด้านล่างของโคมแดงที่ด้านหน้าวัดอาซากุสะ
นักท่องเที่ยวมหาศาลที่ถนนนากามิเสะหน้าวัดอาซากุสะ
นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและขาวต่างประเทศที่ด้านหน้าวิหารวัดอาซากุซะ
วิวจากด้านหน้าวิหารของวัดอาซากุสะ
ร้านขายของที่ระลึกต่างๆที่ถนนด้านข้างวัดอาซากุซะ
นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนิยมใส่ชุดยูกาตะมาเที่ยวที่วัดอาซากุสะ
ทางม้าลายที่ไปได้ทุกทาง-ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ
บริการรถเข็นนำเที่ยวบริเวณวัดอาซากุสะ
หน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ
Credit : www.talonjapan.com
More
มีคนเคยบอกว่าทะเลญี่ปุ่นไม่สวย แต่หลังจากฮานะได้รู้จักโอกินาว่า ความคิดนี้ก็หายไปเลยค่ะ เพราะทะเลโอกินาว่านั้นสวยมากๆ และไม่ใช่แค่ทะเลเท่านั้นที่โอกินาว่ามี แต่ดินแดนแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งหลงรักเกาะใต้แห่งนี้ แล้วไปโอกินาว่าต้องไปทำอะไรวันนี้ฮานะนำมาให้ชมกันค่ะ
ไปชมทะเลสวยหาดทรายสีขาว
โอกินาว่านั้นประกอบไปด้วยหมู่เกาะหลักๆ 3 หมู่เกาะ ได้แก่ หมู่เกาะโอกินาว่า(Okinawa Islands) หมู่เกาะมิยาโกะ(Miyako Islands) และหมู่เกาะยาเอะยามะ(Yaeyama Islands) โดยแต่ละหมู่เกาะนั้นก็จะประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวน 160 เกาะ มีเมืองหลวงคือนาฮาซึ่งตั้งอยู่บนเกาะหลักโอกินาว่าและด้วยภูมิอากาศของโอกินาว่านั้นเป็นแบบกึ่งเขตร้อน ในหน้าหนาวอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20 องศา ที่นี่จึงเหมาะกับการมารับลมร้อน นอนชมทะเลสวยใสได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีพื้นที่ปะการังกว้างใหญ่ที่สุดในโลก และมีจุดดำน้ำที่สวยงามและโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วยนะ ซึ่งเกาะที่ฮานะจะพาไปชมในวันนี้คือเกาะนางังนุ(Nagannu Island) ซึ่งสามารถนั่งเรือจากเกาะโอกินาว่าไปประมาณ 20 นาที ตั้งอยู่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเคระมะ โชโตะ(Kerama Shoto National Park) ซึ่งที่นี่ล้อมรอบไปด้วยแนวปะการังที่สวยงาม เหมาะกับการมาว่ายน้ำ ดำน้ำชมปะการัง และยังสามารถพักค้างคืนบนเกาะได้ด้วยค่ะและฟ้ายามค่ำคืนของเกาะแห่งนี้ดาวสวยมากๆ เลยนะคะ
เกาะนางังนุ(Nagannu Island)
จากนั้นไปเดินริมหาดทรายสีขาวที่ทอดตัวยาวริมหาด โยนาฮา มาเอะฮามะ (Yonaha Maehama beach) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมิยาโกะ มีชายหาดที่ทอดตัวยาวถึง 7 กิโลเมตรบรรยากาศสวยงามราวกับภาพถ่ายในโปสการ์ดเลยล่ะค่ะ
หาด โยนาฮา มาเอะฮามะ (Yonaha Maehama beach)
ปั่นจักรยานข้ามสะพานอิราบุ (Irabu Bridge)ที่ทอดตัวในทะเลสีฟ้า
สะพานอิราบุ (Irabu Bridge) สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะมิยาโกะและเกาะอิราบุ เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นที่ไม่เก็บค่าข้ามสะพานโดยมีความยาวประมาณ 3,540 เมตร ทอดตัวไปในทะเลสีฟ้า ท่ามกลางฟ้าสีครามเหมาะกับการมาปั่นจักรยาน เดินเล่นชิลๆ ชมวิวทะเลที่สวยงาม
พักบ้านแบบชาวโอกินาว่าที่เกาะโฮชิโนยะ ทาเคโตะมิ (Hoshinoya Taketomijima)
ลองมาเป็นชาวโอกินาว่ากันสักคืนไหมคะกับการสัมผัสประสบการณ์พักบ้านแบบชาวโอกินาว่า บ้านชั้นเดียวหลังคากระเบื้องสีแดงที่เกาะโฮชิโนยะ ทาเคโตะมิ แต่ละหลังจะมีสวนส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันให้อารมณ์ชาวโอกินาว่ามากๆ เลยค่ะ
เดินเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาที่ถนนซึโบยะ ยาจิมัง (Tsuboya Yachimun-dori)
ถนนซึโบยะ ยาจิมัง (Tsuboya Yachimun-dori) ถนนที่มีประวัติยาวนานกว่า 330 ปี เต็มไปด้วยร้านเครื่องปั้นดินเผา คุณสามารถไปเยี่ยมชมและสัมผัสการปั้นเครื่องปั้นดินเผาสไตล์โอกินาว่า และเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผา จาน จาม ถ้วยชา และรูปปั้น shiisaa ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ผสมระหว่างสุนัขกับสิงโต เชื่อว่าช่วยปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายนำไปเป็นของฝากกลับบ้าน
ลิ้มลองโอกานาว่า โซบะ
มาโอกินาว่าก็ห้ามพลาดมาทานโซบะโอกินาว่า ที่มีความพิเศษคือเส้นโซบะทำจากแป้งสาลีของโอกินาว่าจะมีความหนึบๆ และน้ำซุปที่เข้มข้นจากกระดูกหมู ร้านที่เราอยากแนะนำให้มาทานคือร้าน kintiti Soba ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Onna บนเกาะโอกินาว่า ตัวเส้นทางร้านทำเองและน้ำซุปเป็นสูตรเด็ดของทางร้าน ใครมาโอกินาว่าลองมาทานกันได้เลย
ทานอาหารดั้งเดิมของชาวรีวกิว
หลังจากทานโซบะกันไปแล้วฮานะจะพาไปทานอาหารดั้งเดิมของรีวกิวซึ่งก็คืออาณาจักรเดิมก่อนที่จะมาเป็นเกาะโอกินาว่าในปัจจุบันค่ะ โดยร้านที่เราจะพาไปทานคือร้าน Uchina Ryori Shuri Iroha-tei ตั้งอยู่ในย่านชูริที่เงียบสงบ เสิร์ฟอาหารสไตล์รีวกิวที่ในเซ็ตเมนูจะประกอบไปด้วยอาหารจานเล็กจานน้อยซึ่งใส่ใจในการปรุงอาหารและการคัดเลือกวัตถุดิบ โดยในเซ็ตก็จะประกอบไปด้วย Inamuruchi มิโสะซุปสไตล์โอกินาว่า และ Umukuji Andagi มันม่วงทอด
โอกินาว่า เกาะใต้ของญี่ปุ่นที่ฮานะหลงรักเลยล่ะค่ะ ยิ่งตอนนี้โอกินาว่าเดินทางง่ายไปไม่ยากมีสายการบินที่บินตรงทั้งแบบฟูลเซอร์วิสและแบบโลว์คอสต์ ทำให้การเดินทางไปสัมผัสโอกินาว่าไม่ยากอีกต่อไป ใครที่อยากหาข้อมูลที่พัก ที่กิน ที่เที่ยว ของโอกินาว่าแบบรู้ลึกรู้จริงแนะนำเว็บนี้เลยค่ะ http://beokinawa-pr.jp/guide/ มีทุกเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับโอกินาว่า ลองเข้าไปชมกันเลย
Credit : http://www.chillinjapan.com
More
ตอนนี้เกียวโตกำลังมีที่เที่ยวแห่งใหม่ค่ะกับ Kyoto Railway Museum พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต ในสังกัดของ JR-West ที่กำลังจะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 29 เมษายนนี้ค่ะ คนรักรถไฟบอกเลยว่ามาที่นี่จะมีความสุขมากๆ
ซึ่งถ้าใครเคยไปเกียวโตจะทราบดีว่าที่นี่มีพิพิธภัณฑ์รถจักรไอน้ำ The Umekoji Steam Locomotive Museum ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1972 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการรถไฟญี่ปุ่น เปิดให้เราได้ชมความสวยงามและคลาสสิคของรถจักรไอน้ำ โดยตอนนี้ทาง JR-West เลยได้มีการสร้างเพิ่มเติมให้เป็น Kyoto Railway Museum สถานที่ที่จะรวมรถไฟมากที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุครถจักรไอน้ำไปจนถึงรถไฟชินกันเซ็นในปัจจุบัน โดยจะมีให้ชมมากถึง 53 ขบวน โดยจะมีตั้งแต่รถไฟชินกันเซ็นรุ่น 0 ซีรีส์ ซึ่งเป็นรถไฟชินกันเซ็นขบวนแรกของญี่ปุ่น และรถไฟชินกันเซ็นรุ่น 500 ซีรีส์ ซึ่งเป็นรถไฟชินกันเซ็นรุ่นแรกที่สามารถวิ่งได้ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีแนวคิดที่ว่า “ศูนย์กลางวัฒนธรรมรถไฟที่ก้าวไปพร้อมกับชุมชน” ความตั้งใจเพื่อให้ที่นี่เป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องรถไฟ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของรถไฟให้กับคนรุ่นหลังได้มาสัมผัสเรื่องราวที่น่าประทับใจเหล่านี้
Kyoto Railway Museum แห่งนี้จะแบ่งเป็น 3 ชั้นค่ะ โดยชั้น 1 ส่วนเพดานจะเปิดโล่งทะลุไปถึงชั้นที่ 2 โดยชั้นนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่พาเราไปทำความรู้จักประวัติศาสตร์ของรถไฟ โดยจัดแสดงรถไฟขบวนต่างๆ ซึ่งนิทรรศการส่วนนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมอีกด้วย
ชั้นที่ 2 จะเป็นชั้นที่เราสามารถมองลงไปเห็นชั้นที่ 1 ได้ค่ะ ชั้นนี้จะจัดแสดงนิทรรศการแบบโต้ตอบ และชั้นนี้จะมีร้านอาหารให้นั่งชิลได้อีกด้วย
ชั้นที่ 3 จะเป็นชั้นดาดฟ้าเปิดโล่ง ตกแต่งด้วยสวนสวย ชั้นนี้คุณสามารถมองเห็นรถไฟขบวนต่างๆ วิ่งไปมาอยู่ด้านล่างเป็นภาพที่สวยงามมากๆ
ส่วนด้านหน้าก็จะเป็นส่วนของ The Umekoji Steam Locomotive Museum เดิมที่จะจัดแสดงหัวรถจักรไอน้ำ การปล่อยรถจักรไอน้ำ ที่เรายังสามารถลองนั่งรถจักรไอน้ำชมเมืองได้อีกด้วยนะคะ ส่วนใครที่อยากรู็ว่าเขามีวิธีซ่อมบำรุง ดูแล รถจักรไอน้ำที่เก่าแก่แบบนี้อย่างไรที่นี่ก็ให้เราได้ชมส่วนของโรงซ่อมบำรุงรถจักรไอน้ำด้วยค่ะ
นอกจากนี้ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมี Railway diorama ซึ่งเป็นการจัดแสดงแบบจำลองสามมิติที่ใหญ่มากๆ โดยจะมีขบวนรถไฟจำลองอัตราส่วน 1/80 มาวิ่งให้เราได้ชมอีกด้วย ส่วนใครที่อยากลองเป็นพนักงานของรถไฟญี่ปุ่นสักครั้งที่นี่ก็มีชุดยูนิฟอร์มและลองมาสวมบทเป็นพนักงานจริงๆ ได้เลยค่ะ
เปิดบริการ : ทุกวันยกเว้นวันพุธ และ หยุดวันที่ 30 ธันวาคม – 1 มกราคม
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 1,200 เยน/เด็ก อายุต่ำกว่า 3 ปี 200 เยน
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟเกียวโต นั่งรถเมล์สาย 205,208, 103, 104, 110, 86 และ 88 ลงป้าย Umekoji-koen/Kyoto Railway Museum-mae ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที
Credit : http://www.chillinjapan.com
More
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาฮานะได้ไปเดินชมไฟสวยๆ ที่โอซาก้ากับงาน Namba Hikaritabi ค่ะ ตามไปชมภาพบรรยากาศกันเลย
โดยงาน Namba Hikaritabi เกิดจากความร่วมมือของ Nankai Electric Railway Co.,Ltd. ,Takashimaya Co.,Ltd. และ Swissotel Nankai Osaka ได้จัดงาน “Namba Hikari-tabi” โดยปีนี้ใช้ชื่องานว่า “A Journey of Searching for Super Flower” ขึ้นที่ Namba Parks เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559
งานนี้เป็นการเนรมิตรบริเวณย่านนัมบะให้เป็นสถานที่สุดโรแมนติกรับเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ ไปจนถึงวาเลนไทน์เลยค่ะ โดยใช้ดวงไฟกว่า 600,000 ดวง ที่จะประดับประดาให้ที่นี่เป็นเหมือนสรวงสรวรรค์ในยามค่ำคืน
ตลอดทางเดินที่ขึ้นไปบน Namba Park นั้นเขาจะประดับไฟสวยงามมากๆ ค่ะ มีดนตรีเพราะๆ ประกอบด้วย และที่นี่ก็มีคู่รักชาวญี่ปุ่นมาเดินควงแขนกระหนุงกระหนิงกันจนฮานะอยากจะไปเดินไปปิดไฟเลยค่ะ เพราะอิจฉาแรงมากๆ
ปลายปีนี้ใครกำลังเดินทางไปโอซาก้าก็อย่าลืมแวะไปชมงาน Namba Hikaritabi ที่ Namba Parks กันนะคะ
และอย่าลืมควงคนรู้ใจไปด้วยนะจะได้ไม่อิจฉาแรงเหมือนฮานะ
การเดินทาง รถไฟ Nankai ลงสถานี Nankai Namba
ระยะเวลาการจัดงาน 13 พ.ย. – 14 ก.พ. เวลา 17.00 – 24.00 น.
Credit : http://www.chillinjapan.com
More
หากคุณอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้ร่วงในราคาถูกสุดๆ ล่ะก็ ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวกันแล้ว! กับสารพัดข้อแนะนำเพื่อการจัดทริปแสนประหยัดที่คุณก็ทำได้
หนึ่งในฤดูท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆ คนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องมีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงามอย่างแน่นอน และคงไม่มีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ใดที่น่าไปเยือนมากกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นอีกแล้ว ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นจุดพีคของแดนอาทิตย์อุทัยอีกฤดูหนึ่งเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าฤดูเที่ยวแบบนี้อะไรๆ ก็คงอัพราคารับกระแสนักท่องเที่ยวกันไปซะหมด แต่คุณก็อย่าเพิ่งถอดใจไป! เพราะเรามีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้แบบประหยัดสุดๆ ทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง และค่าใช้จ่ายประจำวัน ในแบบที่คนงบน้อยก็เที่ยวได้สบายใจ
ถามตัวเองก่อนเริ่มจัดทริป
จุดเริ่มต้นของการจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดในช่วงพีคซีซั่นนั่นก็คือ การถามความต้องการและความสะดวกของคุณเองก่อน โดยเรามีตัวอย่างคำถามที่สำคัญๆ อย่างเช่น
“ตุลาคมถึงพฤศจิกายนว่างไหม?” เพื่อตอบว่าคุณจะชมใบไม้เปลี่ยนสีในปีนี้ได้หรือไม่ เพราะใน 1 ปีนั้นมีเวลาเพียง 2 เดือนดังกล่าวในการชมใบไม้เปลี่ยนสีก่อนจะร่วงหมดต้นและเข้าสู่ฤดูหนาว
“อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?” เพื่อกำหนดเป้าหมายการเที่ยวของคุณ ว่าคุณอยากดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน หรืออยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษบ้าง โดยที่เที่ยวทั้งหมดควรต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
“มีเวลาเที่ยวกี่วัน?” เพื่อดูข้อจำกัดว่าคุณสามารถให้เวลากับทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดนี้ได้นานแค่ไหน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการลางาน หรือภาระข้อจำกัดที่คุณอาจจากไปเป็นเวลานานไม่ได้
“เดินทางได้วันไหน?” เพื่อกำหนดช่วงเดินทางที่เหมาะสม และถ้าหากเป็นไปได้เราอยากให้คุณเลือกเดินทางในช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งตั๋วเครื่องบินจะมีราคาถูกกว่าการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์
เลือกภูมิภาคเที่ยว
เพราะช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่นนั้นไม่ตรงกัน คุณจึงมี 2 ทางเลือกว่าคุณจะ “ปรับที่เที่ยวให้ตรงกับเมืองที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในเวลาที่ต้องการ” หรือจะ “ปรับวันเดินทางให้ตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในเมืองที่ต้องการ” โดยการเปลี่ยนสีของใบไม้ในญี่ปุ่นจะเริ่มจากทางทิศเหนือสู่ทิศใต้ ตามสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงจากทางเหนือก่อน เราขอยกตัวอย่างช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ในญี่ปุ่นตามสถิติของปีที่ผ่านๆ มาดังนี้
ซัปโปโร ปลายเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคม
นิกโกะ ต้นเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน
โอซาก้า กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม
เกียวโต กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม
โตเกียว ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม
คุมาโมโตะ ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม
ลงมือหาตั๋วเครื่องบินถูก
ขั้นตอนสำคัญที่อาจตัดสินได้ว่าทริปเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดของคุณนั้นจะประหยัดจริงหรือไม่ ก็ด้วยการหาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดนี่แหละ! จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้ตั๋วถูกมาเที่ยว มาดูกัน
วางแผนจองล่วงหน้า
หนึ่งในยุทธวิธีที่จะทำให้คุณได้จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกได้นั่นก็คือการจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เนินๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลของเสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner มาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี เราได้พบว่าการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ได้ราคาประหยัดที่สุดนั้น คุณต้องลงมือจองล่วงหน้าก่อนวันบินเป็นเวลา 19 สัปดาห์ (หรือ 4-5 เดือนก่อนการเดินทาง)
สำรวจราคาให้ครอบคลุม
ทราบหรือไม่ว่าแค่ขยับวันเดินทางก่อนหรือหลังเพียงวันเดียว ก็อาจทำให้คุณประหยัดค่าตั๋วเครื่องบินได้อีกเป็นกอง! นั่นเป็นความจริงของราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างวันหยุดกับวันธรรมดาที่แตกต่างกันเสมอ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วง เพราะเรามีเครื่องมือ “เปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินทั้งเดือน” ที่ช่วยให้คุณดูราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดได้อย่างเต็มตาทั้งเดือน
หาตัวช่วยเตือนโปรถูก
จะเกิดอะไรขึ้นหากโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกสุดๆ โผล่เข้ามาโดยที่คุณไม่ทันได้ตามข่าว? คุณคงพลาดการจัดทริปไปญี่ปุ่นในราคาประหยัดอีกแน่ถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วยแจ้งเตือน ดังนั้นเมื่อเลือกวันเที่ยวได้แล้วแต่ยังตัดสินใจรอตั๋วลดราคาลงอีก ก็ลอง “รับบริการแจ้งเตือนราคา” จากเราดู รับรองว่าราคาเปลี่ยนปุ๊บเราเตือนคุณปั๊บแน่นอน
จองโรงแรมล่วงหน้าให้ไว
เมื่อคุณได้เที่ยวบินแล้ว คุณก็จะมีกำหนดการเดินทางและระยะเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ จากนั้นก็เริ่มจองโรงแรมกันได้เลย ถ้าหากคุณต้องการประหยัดค่าโรงแรมในทริปนี้ล่ะก็ ในญี่ปุ่นก็มีโรงแรมสไตล์โฮสเทลอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ห้องนอนรวม หรือที่นอนแคปซูล หรือใช้ห้องน้ำรวม หรือไม่มีเครื่องปรับอากาศก็แล้วแต่รูปแบบของโรงแรมนั้นๆ ความสำคัญอยู่ที่คุณจะได้โรงแรมที่ถูกที่สุดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถรับต่อบริการเหล่านั้นได้หรือไม่ ในระดับไหน ซึ่งคุณอาจเลือกเพิ่มเงินอีกนิดเพื่อได้พักห้องส่วนตัวก็ได้ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับงบประมาณและความพึงพอใจที่คุณมีนั่นเอง
เริ่มวางแผนเที่ยวเชิงลึก
เมื่อคุณได้เที่ยวบินและที่พักแล้ว ก็เริ่มลงมือวางแผนการเที่ยวได้ เพราะนี่คือส่วนที่สนุกที่สุด! จากที่ถามตนเองในตอนแรกว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้างก็ได้เวลามาทำให้มันกลายเป็นจริง แต่ควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้
จัดตารางที่เที่ยว
จัดตารางที่เที่ยวของคุณลงในคอมพิวเตอร์หรือในสมุดแล้วแต่สะดวก แต่ที่เที่ยวในแต่ละวันควรจะอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อประหยัดค่าเดินทางและเวลา และที่เที่ยวทั้งหมดไม่ควรไปไกลเกินกว่าเขตภูมิภาคที่ตนเองอยู่ (ยกเว้นจะมีเวลามากพอแล้วจัดแผนเที่ยวหลายเขต) เพราะการเดินทางไปสถานที่ไกลๆ ที่อยากไปเพียงแห่งเดียวนั้นไม่ใช่การเที่ยวที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก เอาเวลาเดินทางไปเที่ยวที่อื่นใกล้ๆ ดีกว่า
คัดที่เที่ยวที่ไม่เสียเงิน
อันที่จริงการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่สวยที่สุดนั้นมักจะต้องเข้าไปชมภายในวัดหรืออุทยานต่างๆ ซึ่งทุกที่จะเสียค่าเข้าชมเพื่อบำรุงสถานที่ (300 – 1,000 เยน/แห่ง แล้วแต่สถานที่) แต่ทริปประหยัดของคุณก็ไม่จำเป็นต้องแวะทุกที่ แค่เลือกสถานที่เสียค่าเข้าชมที่ดูสวยงามที่สุดในสายตาคุณมาสักแห่งสองแห่ง ที่เหลือจากนั้นก็ไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีตามสวนสาธารณะหรือถนนในเมืองแบบฟรีๆ กันดีกว่า อาทิเช่นสวนสาธารณะรอบปราสาทโอซาก้าที่เดินเที่ยวฟรีได้ เป็นต้น
จัดตารางเดินทาง
มาถึงการวางแผนการเดินทางที่ต้องวางแผนอย่างรอบครอบ โดยในตารางที่เที่ยวของคุณควรกะเวลาเดินทางระหว่างที่เที่ยวแต่ละแห่งเอาไว้ด้วย และแน่นอนว่าการเดินทางที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่สุดนั่นก็คือการเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย! แค่คุณต้องดูจากแผนที่ว่าที่เที่ยวที่คุณต้องการไปนั้นต้องนั่งรถไฟจากสถานีไหนไปสถานีไหน จากนั้นก็ใช้บริการของเว็บไซต์ Hyperdia เพื่อเช็คว่าการเดินทางของคุณจะมีรถไฟรอบเวลาใดบ้าง ใช้เวลากี่นาที และต้องเสียเงินเท่าไหร่ ซึ่งเป็นตัวช่วยชั้นดีในการวางแผนเดินทางในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรพยายามเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนกลุ่มเดียวกันให้มากที่สุด เช่นเลือกเดินทางด้วยรถไฟของบริษัท JR อย่างเดียว หรือเลือกเดินทางด้วยรถไฟเอกชน+รถไฟใต้ดิน+รถเมล์อย่างเดียว เพื่อประโยชน์ในการซื้อบัตรเหมาจ่าย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่เที่ยวที่คุณจะไปว่ามีระบบขนส่งมวลชนกลุ่มไหนผ่านบ้าง
ใช้บัตรเหมาคุ้มกว่า
หลังจากจัดตารางที่เที่ยวและการเดินทางลงตารางเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะเริ่มมองเห็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ที่อาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยล่ะ แต่คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ด้วยการซื้อบัตรโดยสารเหมา (หรือเรียกกันว่า “บัตรเบ่ง”) ซึ่งเป็นบัตรที่จ่ายครั้งเดียวและเดินทางได้ไม่จำกัดครั้งตามเวลาที่กำหนด อาทิตั๋ว JR Rail Pass ที่เดินทางได้กับรถไฟของบริษัท JR ได้ทุกสาย หรือบัตรท่องเที่ยวรายวันของแต่ละท้องที่ ซึ่งมักจะรวมรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน รถเมล์ และส่วนลดบัตรเข้าชมที่เที่ยวต่างๆ มาไว้ด้วยกัน โดยบัตรทั้ง 2 แบบก็ล้วนแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางขึ้นเยอะ
ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรเปรียบเทียบการเดินทางของคุณกับบัตรและประเภทดูว่าบัตรไหนตอบโจทย์ความคุ้มค่ากับโปรแกรมที่เที่ยวของคุณมากที่สุด เพราะบางครั้งบัตร JR Rail Pass ก็ไม่ครอบคลุมการเดินทางได้เท่ากับการบัตรท่องเที่ยว หรือกลับกันก็เป็นได้
กำหนดงบติดตัว
เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีค่าครองชีพสูง การกำหนดงบใช้กินนั้นอาจตีได้ถึง 300 บาทต่อมื้อ หรือปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ได้อย่างต่ำประมาณวันละ 1,000 บาทต่อวันต่อคนเลยทีเดียวเชียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะการหาของกินราคาถูกของแต่ละคนด้วย (เข้าห้างสรรพสินค้าตอนดึกๆ มักจะมีอาหารกล่องลดราคา!) และอย่าลืมเผื่อเงินอีกหนึ่งเท่าของค่ากินสำหรับค่าเดินทาง ของใช้ และค่าจิปาถะอื่นๆ ที่อาจต้องใช้ในญี่ปุ่น และที่สำคัญ! ควรแลกเงินเยนจากไทยไปให้เพียงพอดีกว่า เพราะเรทแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นจะแพงกว่ามาก และสุดท้าย การพกเงินไปเผื่อแล้วเหลือกลับมาแลกคืนนั้นย่อมดีกว่าเงินหมดตอนเที่ยวแล้วต้องวิ่งหาแลกเงินเยนที่เรทสูงปรี๊ดในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
ใครที่ฝันอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ติดปัญหาเล็กๆ อย่างเรื่องงบและความกังวลว่าจะ “เที่ยวแพง” อยู่ล่ะก็ ทิปส์เหล่านี้อาจจะช่วยให้ทริปเที่ยวของคุณใกล้ความจริงได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะประหยัดได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไหน สุดท้ายก็ขอให้การเที่ยวนั้นคุ้มค่าและประทับใจต่อตัวคุณที่สุดก็เพียงพอแล้ว
Credit : www.skyscanner.co.th
More