All posts by admin

วัดเซนโซจิ หรือวัดอาซากุซะ หรือวัดโคมแดง – Sensoji Temple

วัดเซนโซจิ หรือวัดอาซากุซะ หรือวัดโคมแดง – Sensoji Temple

วัดเซนโซจิ(Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนนิยมเรียกว่าวัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของเมืองโตเกียว ที่มีผู้คนเดินทางมาสักการะและเที่ยวชมได้ทั้งตัววัดและบริเวณภายนอก โดยจะมีถนนนากามิเสะที่เป็นถนนยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัดที่จะเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย

2

ตามตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณปี 628 สองพี่น้องได้ออกเรือไปตกปลา และตกรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทิ้งรูปปั้นกลับลงสู่แม่น้ำเท่าไหร่ก็ตาม รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมก็จะกลับมาหาพวกเขาอยู่เสมอ จึงได้มีการสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม วัดนี้ก่อสร้างเสร็จในปี 645 จึงถือว่าเป็นวัดที่เท่าแก่ที่สุดในโตเกียว

3

แผนที่แสดงบริเวณวัดเซนโซจิ

4

ด้านล่างของโคมแดงที่ด้านหน้าวัดอาซากุสะ

5

นักท่องเที่ยวมหาศาลที่ถนนนากามิเสะหน้าวัดอาซากุสะ

6

นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและขาวต่างประเทศที่ด้านหน้าวิหารวัดอาซากุซะ

7

วิวจากด้านหน้าวิหารของวัดอาซากุสะ

8

ร้านขายของที่ระลึกต่างๆที่ถนนด้านข้างวัดอาซากุซะ

9

นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนิยมใส่ชุดยูกาตะมาเที่ยวที่วัดอาซากุสะ

10

ทางม้าลายที่ไปได้ทุกทาง-ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ

11

บริการรถเข็นนำเที่ยวบริเวณวัดอาซากุสะ

12

หน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ

Credit : www.talonjapan.com

 

More

ไปโอกินาว่าต้องไปทำอะไร?? กิน เที่ยว พักที่ไหน ไปชมกันเลย

ไปโอกินาว่าต้องไปทำอะไร?? กิน เที่ยว พักที่ไหน ไปชมกันเลย

มีคนเคยบอกว่าทะเลญี่ปุ่นไม่สวย แต่หลังจากฮานะได้รู้จักโอกินาว่า ความคิดนี้ก็หายไปเลยค่ะ เพราะทะเลโอกินาว่านั้นสวยมากๆ และไม่ใช่แค่ทะเลเท่านั้นที่โอกินาว่ามี แต่ดินแดนแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งหลงรักเกาะใต้แห่งนี้ แล้วไปโอกินาว่าต้องไปทำอะไรวันนี้ฮานะนำมาให้ชมกันค่ะ

ไปชมทะเลสวยหาดทรายสีขาว

โอกินาว่านั้นประกอบไปด้วยหมู่เกาะหลักๆ 3 หมู่เกาะ ได้แก่ หมู่เกาะโอกินาว่า(Okinawa Islands) หมู่เกาะมิยาโกะ(Miyako Islands) และหมู่เกาะยาเอะยามะ(Yaeyama Islands) โดยแต่ละหมู่เกาะนั้นก็จะประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่จำนวน 160 เกาะ มีเมืองหลวงคือนาฮาซึ่งตั้งอยู่บนเกาะหลักโอกินาว่าและด้วยภูมิอากาศของโอกินาว่านั้นเป็นแบบกึ่งเขตร้อน ในหน้าหนาวอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 20 องศา ที่นี่จึงเหมาะกับการมารับลมร้อน นอนชมทะเลสวยใสได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีพื้นที่ปะการังกว้างใหญ่ที่สุดในโลก และมีจุดดำน้ำที่สวยงามและโด่งดังไปทั่วโลกอีกด้วยนะ ซึ่งเกาะที่ฮานะจะพาไปชมในวันนี้คือเกาะนางังนุ(Nagannu Island) ซึ่งสามารถนั่งเรือจากเกาะโอกินาว่าไปประมาณ 20 นาที ตั้งอยู่ทางเข้าอุทยานแห่งชาติเคระมะ โชโตะ(Kerama Shoto National Park) ซึ่งที่นี่ล้อมรอบไปด้วยแนวปะการังที่สวยงาม เหมาะกับการมาว่ายน้ำ ดำน้ำชมปะการัง และยังสามารถพักค้างคืนบนเกาะได้ด้วยค่ะและฟ้ายามค่ำคืนของเกาะแห่งนี้ดาวสวยมากๆ เลยนะคะ

เกาะนางังนุ(Nagannu Island)

1

จากนั้นไปเดินริมหาดทรายสีขาวที่ทอดตัวยาวริมหาด โยนาฮา มาเอะฮามะ (Yonaha Maehama beach) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมิยาโกะ มีชายหาดที่ทอดตัวยาวถึง 7 กิโลเมตรบรรยากาศสวยงามราวกับภาพถ่ายในโปสการ์ดเลยล่ะค่ะ

หาด โยนาฮา มาเอะฮามะ (Yonaha Maehama beach)

2

ปั่นจักรยานข้ามสะพานอิราบุ (Irabu Bridge)ที่ทอดตัวในทะเลสีฟ้า

สะพานอิราบุ (Irabu Bridge) สะพานที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะมิยาโกะและเกาะอิราบุ เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นที่ไม่เก็บค่าข้ามสะพานโดยมีความยาวประมาณ 3,540 เมตร ทอดตัวไปในทะเลสีฟ้า ท่ามกลางฟ้าสีครามเหมาะกับการมาปั่นจักรยาน เดินเล่นชิลๆ ชมวิวทะเลที่สวยงาม

3

พักบ้านแบบชาวโอกินาว่าที่เกาะโฮชิโนยะ ทาเคโตะมิ (Hoshinoya Taketomijima)

ลองมาเป็นชาวโอกินาว่ากันสักคืนไหมคะกับการสัมผัสประสบการณ์พักบ้านแบบชาวโอกินาว่า บ้านชั้นเดียวหลังคากระเบื้องสีแดงที่เกาะโฮชิโนยะ ทาเคโตะมิ แต่ละหลังจะมีสวนส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันให้อารมณ์ชาวโอกินาว่ามากๆ เลยค่ะ

 

4

เดินเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผาที่ถนนซึโบยะ ยาจิมัง (Tsuboya Yachimun-dori)

ถนนซึโบยะ ยาจิมัง (Tsuboya Yachimun-dori) ถนนที่มีประวัติยาวนานกว่า 330 ปี เต็มไปด้วยร้านเครื่องปั้นดินเผา คุณสามารถไปเยี่ยมชมและสัมผัสการปั้นเครื่องปั้นดินเผาสไตล์โอกินาว่า และเลือกซื้อเครื่องปั้นดินเผา จาน จาม ถ้วยชา และรูปปั้น shiisaa ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ผสมระหว่างสุนัขกับสิงโต เชื่อว่าช่วยปกป้องจากสิ่งชั่วร้ายนำไปเป็นของฝากกลับบ้าน

5

ลิ้มลองโอกานาว่า โซบะ

มาโอกินาว่าก็ห้ามพลาดมาทานโซบะโอกินาว่า ที่มีความพิเศษคือเส้นโซบะทำจากแป้งสาลีของโอกินาว่าจะมีความหนึบๆ และน้ำซุปที่เข้มข้นจากกระดูกหมู ร้านที่เราอยากแนะนำให้มาทานคือร้าน kintiti Soba ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Onna บนเกาะโอกินาว่า ตัวเส้นทางร้านทำเองและน้ำซุปเป็นสูตรเด็ดของทางร้าน ใครมาโอกินาว่าลองมาทานกันได้เลย

6

ทานอาหารดั้งเดิมของชาวรีวกิว

หลังจากทานโซบะกันไปแล้วฮานะจะพาไปทานอาหารดั้งเดิมของรีวกิวซึ่งก็คืออาณาจักรเดิมก่อนที่จะมาเป็นเกาะโอกินาว่าในปัจจุบันค่ะ โดยร้านที่เราจะพาไปทานคือร้าน Uchina Ryori Shuri Iroha-tei ตั้งอยู่ในย่านชูริที่เงียบสงบ เสิร์ฟอาหารสไตล์รีวกิวที่ในเซ็ตเมนูจะประกอบไปด้วยอาหารจานเล็กจานน้อยซึ่งใส่ใจในการปรุงอาหารและการคัดเลือกวัตถุดิบ โดยในเซ็ตก็จะประกอบไปด้วย Inamuruchi มิโสะซุปสไตล์โอกินาว่า และ Umukuji Andagi มันม่วงทอด

7

โอกินาว่า เกาะใต้ของญี่ปุ่นที่ฮานะหลงรักเลยล่ะค่ะ ยิ่งตอนนี้โอกินาว่าเดินทางง่ายไปไม่ยากมีสายการบินที่บินตรงทั้งแบบฟูลเซอร์วิสและแบบโลว์คอสต์ ทำให้การเดินทางไปสัมผัสโอกินาว่าไม่ยากอีกต่อไป ใครที่อยากหาข้อมูลที่พัก ที่กิน ที่เที่ยว ของโอกินาว่าแบบรู้ลึกรู้จริงแนะนำเว็บนี้เลยค่ะ http://beokinawa-pr.jp/guide/ มีทุกเรื่องที่อยากรู้เกี่ยวกับโอกินาว่า ลองเข้าไปชมกันเลย  

 

Credit : http://www.chillinjapan.com

More

เปิดใหม่ Kyoto Railway Museum พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต

เปิดใหม่ Kyoto Railway Museum พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต

ตอนนี้เกียวโตกำลังมีที่เที่ยวแห่งใหม่ค่ะกับ Kyoto Railway Museum พิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งเมืองเกียวโต ในสังกัดของ JR-West ที่กำลังจะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 29 เมษายนนี้ค่ะ คนรักรถไฟบอกเลยว่ามาที่นี่จะมีความสุขมากๆ

1

ซึ่งถ้าใครเคยไปเกียวโตจะทราบดีว่าที่นี่มีพิพิธภัณฑ์รถจักรไอน้ำ The Umekoji Steam Locomotive Museum ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี 1972 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการรถไฟญี่ปุ่น เปิดให้เราได้ชมความสวยงามและคลาสสิคของรถจักรไอน้ำ โดยตอนนี้ทาง JR-West เลยได้มีการสร้างเพิ่มเติมให้เป็น Kyoto Railway Museum สถานที่ที่จะรวมรถไฟมากที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งแต่ยุครถจักรไอน้ำไปจนถึงรถไฟชินกันเซ็นในปัจจุบัน โดยจะมีให้ชมมากถึง 53 ขบวน โดยจะมีตั้งแต่รถไฟชินกันเซ็นรุ่น 0 ซีรีส์ ซึ่งเป็นรถไฟชินกันเซ็นขบวนแรกของญี่ปุ่น และรถไฟชินกันเซ็นรุ่น 500 ซีรีส์ ซึ่งเป็นรถไฟชินกันเซ็นรุ่นแรกที่สามารถวิ่งได้ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง

2

โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีแนวคิดที่ว่า “ศูนย์กลางวัฒนธรรมรถไฟที่ก้าวไปพร้อมกับชุมชน” ความตั้งใจเพื่อให้ที่นี่เป็นศูนย์การเรียนรู้เรื่องรถไฟ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของรถไฟให้กับคนรุ่นหลังได้มาสัมผัสเรื่องราวที่น่าประทับใจเหล่านี้

Kyoto Railway Museum แห่งนี้จะแบ่งเป็น 3 ชั้นค่ะ โดยชั้น 1 ส่วนเพดานจะเปิดโล่งทะลุไปถึงชั้นที่ 2 โดยชั้นนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่พาเราไปทำความรู้จักประวัติศาสตร์ของรถไฟ โดยจัดแสดงรถไฟขบวนต่างๆ ซึ่งนิทรรศการส่วนนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมอีกด้วย

ชั้นที่ 2 จะเป็นชั้นที่เราสามารถมองลงไปเห็นชั้นที่ 1 ได้ค่ะ ชั้นนี้จะจัดแสดงนิทรรศการแบบโต้ตอบ และชั้นนี้จะมีร้านอาหารให้นั่งชิลได้อีกด้วย

ชั้นที่ 3 จะเป็นชั้นดาดฟ้าเปิดโล่ง ตกแต่งด้วยสวนสวย ชั้นนี้คุณสามารถมองเห็นรถไฟขบวนต่างๆ วิ่งไปมาอยู่ด้านล่างเป็นภาพที่สวยงามมากๆ

3

ส่วนด้านหน้าก็จะเป็นส่วนของ  The Umekoji Steam Locomotive Museum เดิมที่จะจัดแสดงหัวรถจักรไอน้ำ การปล่อยรถจักรไอน้ำ ที่เรายังสามารถลองนั่งรถจักรไอน้ำชมเมืองได้อีกด้วยนะคะ ส่วนใครที่อยากรู็ว่าเขามีวิธีซ่อมบำรุง ดูแล รถจักรไอน้ำที่เก่าแก่แบบนี้อย่างไรที่นี่ก็ให้เราได้ชมส่วนของโรงซ่อมบำรุงรถจักรไอน้ำด้วยค่ะ

4

นอกจากนี้ไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมี Railway diorama ซึ่งเป็นการจัดแสดงแบบจำลองสามมิติที่ใหญ่มากๆ โดยจะมีขบวนรถไฟจำลองอัตราส่วน 1/80 มาวิ่งให้เราได้ชมอีกด้วย ส่วนใครที่อยากลองเป็นพนักงานของรถไฟญี่ปุ่นสักครั้งที่นี่ก็มีชุดยูนิฟอร์มและลองมาสวมบทเป็นพนักงานจริงๆ ได้เลยค่ะ

5

เปิดบริการ : ทุกวันยกเว้นวันพุธ และ หยุดวันที่ 30 ธันวาคม – 1 มกราคม
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ 1,200 เยน/เด็ก อายุต่ำกว่า 3 ปี 200 เยน
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟเกียวโต นั่งรถเมล์สาย 205,208, 103, 104, 110, 86 และ 88 ลงป้าย Umekoji-koen/Kyoto Railway Museum-mae ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที

Credit : http://www.chillinjapan.com

More

รีวิวเดินชมไฟสุดโรแมนติกในงาน Namba Hikaritabi ที่โอซาก้า

รีวิวเดินชมไฟสุดโรแมนติกในงาน Namba Hikaritabi ที่โอซาก้า

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาฮานะได้ไปเดินชมไฟสวยๆ ที่โอซาก้ากับงาน Namba Hikaritabi ค่ะ ตามไปชมภาพบรรยากาศกันเลย

โดยงาน Namba Hikaritabi เกิดจากความร่วมมือของ Nankai Electric Railway Co.,Ltd. ,Takashimaya Co.,Ltd. และ Swissotel Nankai Osaka ได้จัดงาน “Namba Hikari-tabi” โดยปีนี้ใช้ชื่องานว่า “A Journey of Searching for Super Flower” ขึ้นที่ Namba Parks เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559

MG_5505

งานนี้เป็นการเนรมิตรบริเวณย่านนัมบะให้เป็นสถานที่สุดโรแมนติกรับเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ ไปจนถึงวาเลนไทน์เลยค่ะ โดยใช้ดวงไฟกว่า 600,000 ดวง ที่จะประดับประดาให้ที่นี่เป็นเหมือนสรวงสรวรรค์ในยามค่ำคืน

MG_5513 MG_5519 MG_5524 MG_5528 MG_5538 MG_5541 MG_5550 MG_5554 MG_5564

ตลอดทางเดินที่ขึ้นไปบน Namba Park นั้นเขาจะประดับไฟสวยงามมากๆ ค่ะ มีดนตรีเพราะๆ ประกอบด้วย และที่นี่ก็มีคู่รักชาวญี่ปุ่นมาเดินควงแขนกระหนุงกระหนิงกันจนฮานะอยากจะไปเดินไปปิดไฟเลยค่ะ เพราะอิจฉาแรงมากๆ

ปลายปีนี้ใครกำลังเดินทางไปโอซาก้าก็อย่าลืมแวะไปชมงาน Namba Hikaritabi ที่ Namba Parks กันนะคะ

และอย่าลืมควงคนรู้ใจไปด้วยนะจะได้ไม่อิจฉาแรงเหมือนฮานะ

การเดินทาง รถไฟ Nankai ลงสถานี Nankai Namba
ระยะเวลาการจัดงาน 13 พ.ย. – 14 ก.พ. เวลา 17.00 – 24.00 น.

Credit : http://www.chillinjapan.com

More

ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดสุดๆ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกัน

ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดสุดๆ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกัน

หากคุณอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงใบไม้ร่วงในราคาถูกสุดๆ ล่ะก็ ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวกันแล้ว! กับสารพัดข้อแนะนำเพื่อการจัดทริปแสนประหยัดที่คุณก็ทำได้

หนึ่งในฤดูท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆ คนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องมีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอันงดงามอย่างแน่นอน และคงไม่มีฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ใดที่น่าไปเยือนมากกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นอีกแล้ว ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นจุดพีคของแดนอาทิตย์อุทัยอีกฤดูหนึ่งเลยก็ว่าได้ และแน่นอนว่าฤดูเที่ยวแบบนี้อะไรๆ ก็คงอัพราคารับกระแสนักท่องเที่ยวกันไปซะหมด แต่คุณก็อย่าเพิ่งถอดใจไป! เพราะเรามีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้แบบประหยัดสุดๆ ทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก การเดินทาง และค่าใช้จ่ายประจำวัน ในแบบที่คนงบน้อยก็เที่ยวได้สบายใจ

ถามตัวเองก่อนเริ่มจัดทริป

จุดเริ่มต้นของการจัดทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดในช่วงพีคซีซั่นนั่นก็คือ การถามความต้องการและความสะดวกของคุณเองก่อน โดยเรามีตัวอย่างคำถามที่สำคัญๆ อย่างเช่น

“ตุลาคมถึงพฤศจิกายนว่างไหม?” เพื่อตอบว่าคุณจะชมใบไม้เปลี่ยนสีในปีนี้ได้หรือไม่ เพราะใน 1 ปีนั้นมีเวลาเพียง 2 เดือนดังกล่าวในการชมใบไม้เปลี่ยนสีก่อนจะร่วงหมดต้นและเข้าสู่ฤดูหนาว

“อยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง?” เพื่อกำหนดเป้าหมายการเที่ยวของคุณ ว่าคุณอยากดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ไหน หรืออยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษบ้าง โดยที่เที่ยวทั้งหมดควรต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

“มีเวลาเที่ยวกี่วัน?” เพื่อดูข้อจำกัดว่าคุณสามารถให้เวลากับทริปเที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัดนี้ได้นานแค่ไหน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการลางาน หรือภาระข้อจำกัดที่คุณอาจจากไปเป็นเวลานานไม่ได้

“เดินทางได้วันไหน?” เพื่อกำหนดช่วงเดินทางที่เหมาะสม และถ้าหากเป็นไปได้เราอยากให้คุณเลือกเดินทางในช่วงกลางสัปดาห์ ซึ่งตั๋วเครื่องบินจะมีราคาถูกกว่าการเดินทางช่วงสุดสัปดาห์

เลือกภูมิภาคเที่ยว

เพราะช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่นนั้นไม่ตรงกัน คุณจึงมี 2 ทางเลือกว่าคุณจะ “ปรับที่เที่ยวให้ตรงกับเมืองที่มีใบไม้เปลี่ยนสีในเวลาที่ต้องการ” หรือจะ “ปรับวันเดินทางให้ตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในเมืองที่ต้องการ” โดยการเปลี่ยนสีของใบไม้ในญี่ปุ่นจะเริ่มจากทางทิศเหนือสู่ทิศใต้ ตามสภาพอากาศที่เริ่มเย็นลงจากทางเหนือก่อน เราขอยกตัวอย่างช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ในญี่ปุ่นตามสถิติของปีที่ผ่านๆ มาดังนี้

ซัปโปโร ปลายเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคม

นิกโกะ ต้นเดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน

โอซาก้า กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

เกียวโต กลางเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

โตเกียว ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

คุมาโมโตะ ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม

ลงมือหาตั๋วเครื่องบินถูก

ขั้นตอนสำคัญที่อาจตัดสินได้ว่าทริปเที่ยวญี่ปุ่นราคาประหยัดของคุณนั้นจะประหยัดจริงหรือไม่ ก็ด้วยการหาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดนี่แหละ! จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ได้ตั๋วถูกมาเที่ยว มาดูกัน

วางแผนจองล่วงหน้า

หนึ่งในยุทธวิธีที่จะทำให้คุณได้จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกได้นั่นก็คือการจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เนินๆ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลของเสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner มาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี เราได้พบว่าการจองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นให้ได้ราคาประหยัดที่สุดนั้น คุณต้องลงมือจองล่วงหน้าก่อนวันบินเป็นเวลา 19 สัปดาห์ (หรือ 4-5 เดือนก่อนการเดินทาง)

สำรวจราคาให้ครอบคลุม

ทราบหรือไม่ว่าแค่ขยับวันเดินทางก่อนหรือหลังเพียงวันเดียว ก็อาจทำให้คุณประหยัดค่าตั๋วเครื่องบินได้อีกเป็นกอง! นั่นเป็นความจริงของราคาตั๋วเครื่องบินระหว่างวันหยุดกับวันธรรมดาที่แตกต่างกันเสมอ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วง เพราะเรามีเครื่องมือ “เปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินทั้งเดือน” ที่ช่วยให้คุณดูราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดได้อย่างเต็มตาทั้งเดือน

หาตัวช่วยเตือนโปรถูก

จะเกิดอะไรขึ้นหากโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่นราคาถูกสุดๆ โผล่เข้ามาโดยที่คุณไม่ทันได้ตามข่าว? คุณคงพลาดการจัดทริปไปญี่ปุ่นในราคาประหยัดอีกแน่ถ้าไม่มีใครสักคนมาช่วยแจ้งเตือน ดังนั้นเมื่อเลือกวันเที่ยวได้แล้วแต่ยังตัดสินใจรอตั๋วลดราคาลงอีก ก็ลอง “รับบริการแจ้งเตือนราคา” จากเราดู รับรองว่าราคาเปลี่ยนปุ๊บเราเตือนคุณปั๊บแน่นอน

จองโรงแรมล่วงหน้าให้ไว

เมื่อคุณได้เที่ยวบินแล้ว คุณก็จะมีกำหนดการเดินทางและระยะเวลาที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ จากนั้นก็เริ่มจองโรงแรมกันได้เลย ถ้าหากคุณต้องการประหยัดค่าโรงแรมในทริปนี้ล่ะก็ ในญี่ปุ่นก็มีโรงแรมสไตล์โฮสเทลอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ห้องนอนรวม หรือที่นอนแคปซูล หรือใช้ห้องน้ำรวม หรือไม่มีเครื่องปรับอากาศก็แล้วแต่รูปแบบของโรงแรมนั้นๆ ความสำคัญอยู่ที่คุณจะได้โรงแรมที่ถูกที่สุดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถรับต่อบริการเหล่านั้นได้หรือไม่ ในระดับไหน ซึ่งคุณอาจเลือกเพิ่มเงินอีกนิดเพื่อได้พักห้องส่วนตัวก็ได้ เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับงบประมาณและความพึงพอใจที่คุณมีนั่นเอง

เริ่มวางแผนเที่ยวเชิงลึก

เมื่อคุณได้เที่ยวบินและที่พักแล้ว ก็เริ่มลงมือวางแผนการเที่ยวได้ เพราะนี่คือส่วนที่สนุกที่สุด! จากที่ถามตนเองในตอนแรกว่าอยากไปเที่ยวไหนบ้างก็ได้เวลามาทำให้มันกลายเป็นจริง แต่ควรอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้

จัดตารางที่เที่ยว

จัดตารางที่เที่ยวของคุณลงในคอมพิวเตอร์หรือในสมุดแล้วแต่สะดวก แต่ที่เที่ยวในแต่ละวันควรจะอยู่ใกล้ๆ กันเพื่อประหยัดค่าเดินทางและเวลา และที่เที่ยวทั้งหมดไม่ควรไปไกลเกินกว่าเขตภูมิภาคที่ตนเองอยู่ (ยกเว้นจะมีเวลามากพอแล้วจัดแผนเที่ยวหลายเขต) เพราะการเดินทางไปสถานที่ไกลๆ ที่อยากไปเพียงแห่งเดียวนั้นไม่ใช่การเที่ยวที่คุ้มค่าสักเท่าไหร่นัก เอาเวลาเดินทางไปเที่ยวที่อื่นใกล้ๆ ดีกว่า

คัดที่เที่ยวที่ไม่เสียเงิน

อันที่จริงการชมใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่สวยที่สุดนั้นมักจะต้องเข้าไปชมภายในวัดหรืออุทยานต่างๆ ซึ่งทุกที่จะเสียค่าเข้าชมเพื่อบำรุงสถานที่ (300 – 1,000 เยน/แห่ง แล้วแต่สถานที่) แต่ทริปประหยัดของคุณก็ไม่จำเป็นต้องแวะทุกที่ แค่เลือกสถานที่เสียค่าเข้าชมที่ดูสวยงามที่สุดในสายตาคุณมาสักแห่งสองแห่ง ที่เหลือจากนั้นก็ไปตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีตามสวนสาธารณะหรือถนนในเมืองแบบฟรีๆ กันดีกว่า อาทิเช่นสวนสาธารณะรอบปราสาทโอซาก้าที่เดินเที่ยวฟรีได้ เป็นต้น

จัดตารางเดินทาง

มาถึงการวางแผนการเดินทางที่ต้องวางแผนอย่างรอบครอบ โดยในตารางที่เที่ยวของคุณควรกะเวลาเดินทางระหว่างที่เที่ยวแต่ละแห่งเอาไว้ด้วย และแน่นอนว่าการเดินทางที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่สุดนั่นก็คือการเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย! แค่คุณต้องดูจากแผนที่ว่าที่เที่ยวที่คุณต้องการไปนั้นต้องนั่งรถไฟจากสถานีไหนไปสถานีไหน จากนั้นก็ใช้บริการของเว็บไซต์ Hyperdia เพื่อเช็คว่าการเดินทางของคุณจะมีรถไฟรอบเวลาใดบ้าง ใช้เวลากี่นาที และต้องเสียเงินเท่าไหร่ ซึ่งเป็นตัวช่วยชั้นดีในการวางแผนเดินทางในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรพยายามเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนกลุ่มเดียวกันให้มากที่สุด เช่นเลือกเดินทางด้วยรถไฟของบริษัท JR อย่างเดียว หรือเลือกเดินทางด้วยรถไฟเอกชน+รถไฟใต้ดิน+รถเมล์อย่างเดียว เพื่อประโยชน์ในการซื้อบัตรเหมาจ่าย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่เที่ยวที่คุณจะไปว่ามีระบบขนส่งมวลชนกลุ่มไหนผ่านบ้าง

ใช้บัตรเหมาคุ้มกว่า

หลังจากจัดตารางที่เที่ยวและการเดินทางลงตารางเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะเริ่มมองเห็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ที่อาจเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยล่ะ แต่คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ด้วยการซื้อบัตรโดยสารเหมา (หรือเรียกกันว่า “บัตรเบ่ง”) ซึ่งเป็นบัตรที่จ่ายครั้งเดียวและเดินทางได้ไม่จำกัดครั้งตามเวลาที่กำหนด อาทิตั๋ว JR Rail Pass ที่เดินทางได้กับรถไฟของบริษัท JR ได้ทุกสาย หรือบัตรท่องเที่ยวรายวันของแต่ละท้องที่ ซึ่งมักจะรวมรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน รถเมล์ และส่วนลดบัตรเข้าชมที่เที่ยวต่างๆ มาไว้ด้วยกัน โดยบัตรทั้ง 2 แบบก็ล้วนแต่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางขึ้นเยอะ

ข้อแนะนำสำคัญ คุณควรเปรียบเทียบการเดินทางของคุณกับบัตรและประเภทดูว่าบัตรไหนตอบโจทย์ความคุ้มค่ากับโปรแกรมที่เที่ยวของคุณมากที่สุด เพราะบางครั้งบัตร JR Rail Pass ก็ไม่ครอบคลุมการเดินทางได้เท่ากับการบัตรท่องเที่ยว หรือกลับกันก็เป็นได้

กำหนดงบติดตัว

เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นมีค่าครองชีพสูง การกำหนดงบใช้กินนั้นอาจตีได้ถึง 300 บาทต่อมื้อ หรือปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ได้อย่างต่ำประมาณวันละ 1,000 บาทต่อวันต่อคนเลยทีเดียวเชียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะการหาของกินราคาถูกของแต่ละคนด้วย (เข้าห้างสรรพสินค้าตอนดึกๆ มักจะมีอาหารกล่องลดราคา!) และอย่าลืมเผื่อเงินอีกหนึ่งเท่าของค่ากินสำหรับค่าเดินทาง ของใช้ และค่าจิปาถะอื่นๆ ที่อาจต้องใช้ในญี่ปุ่น และที่สำคัญ! ควรแลกเงินเยนจากไทยไปให้เพียงพอดีกว่า เพราะเรทแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นจะแพงกว่ามาก และสุดท้าย การพกเงินไปเผื่อแล้วเหลือกลับมาแลกคืนนั้นย่อมดีกว่าเงินหมดตอนเที่ยวแล้วต้องวิ่งหาแลกเงินเยนที่เรทสูงปรี๊ดในญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

ใครที่ฝันอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ติดปัญหาเล็กๆ อย่างเรื่องงบและความกังวลว่าจะ “เที่ยวแพง” อยู่ล่ะก็ ทิปส์เหล่านี้อาจจะช่วยให้ทริปเที่ยวของคุณใกล้ความจริงได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะประหยัดได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไหน สุดท้ายก็ขอให้การเที่ยวนั้นคุ้มค่าและประทับใจต่อตัวคุณที่สุดก็เพียงพอแล้ว

Credit : www.skyscanner.co.th

More